ICELAND THE LAND OF ICE
- URCHIN presents I Iceland The Land of Ice.
- Jun 14, 2016
- 2 min read

ในที่สุดเราก็ได้ไปไอซ์แลนด์ ดินแดนที่ฟังแค่ชื่อก็หนาวแล้ว ประเทศนี้เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และเกาะอังกฤษ ที่ที่เราฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่าอยากจะไปกินน้ำแข็งที่ประเทศนี้ซักครั้งในชีวิต ทริปนี้จึงเป็นทริปที่เราใจจดใจจ่อกับมันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ การได้ไปไอซ์แลนด์ครั้งนี้ทำให้เรารู้สึกมีพลังอย่างบอกไม่ถูก แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง ไอซ์แลนด์กลายเป็นประเทศที่เราไปแล้วเราอยากกลับไปอีกทุกครั้งที่มีโอกาส ด้วยสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สุดในทุกด้าน เหมือนที่คนไอด์แลนเคยบอกกับเราว่า “ถ้าไม่ชอบอากาศ ให้รออีกหนึ่งชั่วโมง” เพราะสภาพอากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาภายในเวลาแค่ 1 ชั่วโมง จากพายุหิมะกลายเป็นแดดยามเช้าที่สดใส การเดินทางครั้งนี้จึงทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความสุดโต่งทางธรรมชาติที่มนุษย์ในดินแดนแห่งนี้ต้องเผชิญและอยู่ร่วมกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แผนการเดินทางของเรา คือ
- Reykjavík
- Grundarfjörõur
- Snaefellsjokull National Park
- Hella
- Vik
- Svínafellsjökull
- Vatnajökull Glacier
- Jökulsárlón
- Gullfoss waterfall
- Geysir
ไอซ์แลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศหนึ่งในสหภาพยุโรป การเดินทางมาประเทศนี้จึงต้องอาศัยเช็งเก้นวีซ่า
ด้วยความที่ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่กว้างใหญ่และมีอะไรให้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา การเดินทางครั้งนี้เราจึงใช้การขับรถตลอดทั้งทริปเพราะเราไม่รู้หรอกว่า แสงเหนือจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ รุ้งกินน้ำที่มีให้เห็นแบบเต็มวงจะโผล่มาตอนไหน และบวกกับอารมณ์ของเราที่อยากจะจอดตรงไหนก็จอด อยากอยู่ตรงไหนนานก็อยู่ เหนื่อยหน่อยแต่มันก็ได้มาซึ่งประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต

Reykjavík เมืองหลวงของสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ จริงๆ แล้วประเทศนี้ไม่ได้มีแค่ธรรมชาติที่สวยงามแต่ยังมีความสวยงามทางศิลปะและความร่วมสมัยปะปนอยู่ในเมืองแห่งนี้อีกด้วย
ความที่เป็นเมืองหลวงเมืองนี้จึงมีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก แต่เราไม่มีเวลามากพอที่จะสำรวจตัวเมืองซักเท่าไหร่ เพียงแค่เดินเที่ยวในใจกลางเมืองที่มีร้านอาหาร ร้านขายของ และงานศิลปะที่เราคิดมันมีเอกลักษณ์เฉพาะแบบที่เราไม่เคยเห็นที่ไหน แอบเสียดายเหมือนกันที่ไม่มีเวลามากพอที่จะใช้ไปกับเมืองนี้
Hallgrímskirkja เป็นโบสถ์สูงของเมืองเรคยาวิค เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุด และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดเป็นอันดับหกในประเทศไอซ์แลนด์ ส่วนอนุสาวรีย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า คือ Leifr Eiriksson ผู้ที่เป็นชาวนอสร์ ชาติยุโรป คนแรกที่ไปเหยียบดินแดนแถบอเมริกาเหนือ


ในไอซ์แลนด์ที่นี่ยังคงมีการล่าวาฬกันอยู่ซึ่งร้านที่เราแวะเข้าไปหลังจากที่เดินเรื่อยเปื่อยจนหิวชนิดที่ว่ามีไรทานหมด ซึ่งในรายการอาหารก็มีเนื้อวาฬที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้ เราก็ไม่รอช้าที่จะสั่งมาลองทาน ซึ่งหน้าตาของมันแทบจะแยกไม่ออกเลยถ้าเทียบกับเนื้อวัว แต่ด้วยความมันของน้ำมันวาฬก็ทำเอาเราติดใจรสชาติของมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

ช่วงที่เราไปเป็นช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาสร้านค้าจะปิดเร็ว ยิ่งนอกเมืองการหาซุปเปอร์หรือแม้แต่ปั้มน้ำมันมันไม่ได้ง่ายเลย ไม่ใช่ว่าไม่มีนะมีแต่ไม่เปิด เราจึงต้องเตรียมเสบียงในการเดินทางติดรถไว้บ้างในการเดินทางวันต่อไปเพราะหลังจากวันนี้เราจะไม่ได้อยู่ในเมืองแล้ว และที่นี่เลยครับ Bonus ซุปเปอร์ราคาประหยัดเหมือน Lotus บ้านเราเนี่ยแหละมีทุกอย่างโดยเฉพาะไวไวรสต้มยำนี่อร่อยเลยทีเดียว

ที่พลาดไปไม่ได้สำหรับการมาเที่ยวไอซ์แลนด์เลยพอๆ กับการออกล่าแสงเหนือคือการใช้เวลาอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง ผ่อนคลายจากความหนาวเย็นกับบ่อน้ำแร่ขนาดใหญ่อย่าง Blue lagoon เราประทับใจกับการได้แช่น้ำอุ่นพร้อมจิบเบียร์ด้วยวิวภูเขารอบด้านคือดีมากจนไม่อยากไปไหนแล้วขออยู่ที่นี่ทั้งวันเลยได้มั้ย


ต่อจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยัง Grundarfjörõur ที่ที่เค้าว่ากันว่าสามารถเห็นแห่งเหนือได้ดีที่สุดเพราะพื้นที่บริเวณนี้เป็นแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลและมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่เยอะจึงไม่ค่อยมีแสงไปรบกวนทำให้เห็นแสงเหนือได้ชัด โดยใช้เวลาขับรถจาก Reykjavik ประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งการการขับรถที่นี่ถือว่าไม่ง่ายเลยเพราะเป็นการขับรถคนละฝั่งกับบ้านเรา

สภาพอากาศก็เหมือนในรูปเลย อากาศเย็นมากประมาณ 2 - 4 องศา เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวแบบเต็มตัวอากาศจึงสูงสุดไม่เกิน 4 องศา ที่สำคัญพระอาทิตย์จะตกค่อนข้างเร็ว 4 โมงนี่เกือบมืดแล้ว อีกทั้งเป็นการขับรถที่ไกลและไม่สามารถขับเร็วมากได้เพราะถนนบางช่วงเป็นน้ำแข็งซึ่งอาจจะทำให้รถหมุนได้แบบไม่รู้ตัว การหาห้องน้ำเข้าระหว่างทางบางช่วงปั้มก็ไกลเอาเรื่องเหมือนกันถ้าผ่านปั่มโดยเฉพาะผู้หญิงถ้าปวดนิดๆให้จัดเลยนะครับจะได้ไม่ต้องไปปล่อยกลางหิมะนะ
ระหว่างที่ขับรถหิมะก็ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดบวกกับความต้องการส่วนตัวก็เลยจอดรถพักข้างทางเล่นหิมะ


หลังจากที่เราได้เข้าที่พักที่ Grundarfjörõur ข่าวดีก็คือ Aurora ได้เต้นรำอยู่เหนือหัวเรานี่เอง แต่ที่แย่กว่าคือหิมะและฝนสลับกันตกเป็นช่วงๆ ทำให้เราไม่สามารถถ่ายมันได้ชัดมากนัก เพียงแค่ได้เห็นมันเต้นรำอยู่บนฟ้า แค่นี้เราก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกแล้ว ภาพที่เราถ่ายมามันเทียบไม่ได้เลยกับการได้สัมผัสมันด้วยตาของเราเอง ด้วยอากาศที่หนาวจัดบวกกับหิมะการถ่ายภาพจึงออกมาในสภาพอย่างที่เห็น ไม่ได้มีความชัดอะไรกับเค้าเลย
ด้วยสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ทำให้ต้องขับรถออกล่าแสงเหนือแบบจริงโดยหวังว่าจะได้เห็นแสงเหนือแบบชัดๆ แต่สุดท้ายก็เห็นแบบลางๆเพราะมีเมฆบัง แต่ก็สนุกดีกับการจอดรถข้างทางนั่งกินขนมและหวังว่าเมฆมันจะลอยไป



วันรุ่งขึ้นจุดหมายปลายทางของเรา คือ Eyjafjallajökull ทางตอนใต้ของประเทศซึ่งใช้เวลาในการขับรถประมาณ 4 ชั่วโมงจากที่พักที่ Grundarfjörõur แต่สุดท้ายเราใช้เวลาไปเกือบ 8 ชั่วโมง ด้วยความที่วิว 2 ข้างทางและสถานที่ที่ไม่ได้แพลนไว้นั้นมันดึงดูดเราเข้าไปหา สรุปแพลนของวันนี้คือ Snaefellsjokull National Park - Hella - Eyjafjallajökull
ระหว่างทางก็อดไม่ได้ที่จะแวะชมวิว 2 ข้างทาง รวมถึงแวะสำรวจ Vatnshellir Lava Cave ใน Snaefellsjokull National Park ถ้ำที่เกิดจากการระเบิดของลาวาเมื่อกว่า 8,000 ปีที่แล้วที่ที่เราจะได้สัมผัสกับความมืดสนิทพร้อมกับเสียงที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นภายในถ้ำแห่งนี้ คิดดูดิแบบลืมตาขึ้นมาแบบไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ได้ยินแค่เสียงน้ำจากพื้นดินด้านบนหยดลงมามันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าประสาทรับรู้ทางการมองเห็นของเราถูกดึงไปใช้กับประสาทการรับรู้ทางการได้ยินมากขึ้น นี่เราคิดไปเองใช่มั้ย




หลังจากที่เราได้นั่งรอพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าอย่างสบายใจ เราก็ออกรถอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าสู่ Eyjafjallajökull จุดหมายปลายทางของเราคืนนี้ แต่ระหว่างทางก็มีอะไรที่ทำให้เราต้องจอดรถนั้นก็คือทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง ที่นี่เองที่เพื่อนเราเกือบจมน้ำเพราะเดินไปบนน้ำแข็งที่หนาไม่พอหรือไม่ก็เพราะน้ำหนักตัวของเพื่อนเราเองเนี่ยแหละ คือเราว่ามันคือเสน่ห์ของการขับรถเที่ยวจริงๆแบบทำอะไรโดยที่ไม่ได้แพลนไว้และได้ประสบการณ์ที่สำหรับเรา เราว่าตลกดีเพราะถ้าเราไม่จอดรถมันก็ไม่เกิดขึ้นและมันก็จะไม่มีเรื่องเล่าหรือรูปสวยแบบนี้กลับมา
หลังจากนั้นเราก็แวะหาไรทานที่ Hella เมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนประเภทเดียวกับเราอยากที่จะออกเดินทางอย่าง "The Secret Life of Walter Mitty”



วันรุ่งขึ้นจาก Eyjafjallajökull เราขับรถกว่า 5 ชั่วโมงเพื่อไปพักที่เมือง Höfn แต่ระหว่างทางเราจะผ่าน Seljalandsfoss Waterfall - Vik - Svínafellsjökull ซึ่งจริงๆ แล้วระหว่างทางเราไม่ได้แวะแค่นั้นกว่าจะถึง Höfn ก็ปาไป 6 ชั่วโมงกว่าเพราะมีบางที่มันแบบไม่จอดไม่ได้จริง



Vik เมืองเล็กที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาและทะเลที่ซึ่งมีชายหาดสีดำที่มาพร้อมกับลมที่แรงมาก อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางของเราแต่กลับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ในประเทศแห่งนี้ที่ถ้าไม่มาเราว่าพลาด ชายหาดสีดำที่ทำเอาเพื่อนเราเพลิดเพลินจดเกือบโดนคลื่นซัดตกทะเล




หลังจากที่เราตัวเกือบปลิวกับหาดสีดำที่ Vik แล้วเราก็ขับรถต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อที่จะไป Svínafellsjökull สถานที่ที่ใช้ในการถ่ายหนังเรื่อง Interstellar และระหว่างทางเราก็ได้เจอทั้งสายรุ้งแบบเต็มวงและถนนที่เต็มไปด้วยหิมะในระยะเวลาที่ห่างกันไม่ถึง 30 นาที สภาพอากาศนี่เปลี่ยนแปลงได้แบบเร็วมากเร็วจนงง
สายรุ้งแบบเต็มวงนี่ทำให้เรานึกถึงตอนอยู่โรงเรียนอนุบาลในวิชาศิลปะได้อยู่เลยเพราะเราวาดสายรุ้งส่งอาจารย์แต่เราระบายสีไม่ครบเพราะในตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วรุ้งมันมีกี่สีกันแน่
ถนนที่เต็มไปด้วยหิมะตกใหม่นี่เป็นอะไรที่ฝันร้ายมากเพราะมันจะนุ่มเลื่อนมาก มีครั้งนึงมีรถที่กำลังจะขับสวนกับเราเหมือนจะพยายามขับให้ชิดฝั่งเค้ามากขึ้นแต่มันกลับไปตีหิมะที่อยู่ไหล่ทางเข้ามาทำให้เราของเค้าส่ายไปมาจนเกือบมาโดนรถเรา






วันนี้เราจะออกลุย 2 สถานที่ท่ีอยู่ไม่ห่างจากกันมากนั้นก็คือ Vatnajökull Glacier กับ Jökulsárlón
Vatnajökull Glacier คือถ้ำที่เกิดจากการทับของหิมะเป็นระยะเวลานานจดกลายเป็นน้ำแข็งโดยบางส่วนของถ้ำนั้นยังมีเถ้าถ่านจากภูเขาไฟปะปนอยู่ด้วย ซึ่งการเดินเข้าไปนั้นจะต้องอาศัยทัวร์เนื่องจากการเดินทางเข้าสู่ถ้ำนั้นต้องอาศัยรถยกสูงหรือ Big Foot Truck ลุยหิมะเข้าไปได้อารมณ์เหมือนแบบเล่นรถไฟเหาะบวกรถบั๊ม
เนื้อน้ำแข็งที่เปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีฟ้าเป็นการบ่งบอกว่าน้ำแข็งก้อนนั้นมีการแข็งตัวมาเป็นระยะเวลานานแล้วและจะมีความทนทานมากกว่าน้ำแข็งเนื้อสีขาว





Jökulsárlón คือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับทะเลโดยรับน้ำจากธารน้ำแข็งที่ละลายจากภูเขาโดยรอบ และที่ทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นที่อาศัยของแมวน้ำอีกด้วย ซึ่งเราสามารถเดินลงไปในทะเลสาบได้แต่ก็ต้องมั่นใจด้วยว่าก้อนน้ำแข็งที่เราเลือกแข็งพอที่จะไม่พาเราตกน้ำเพราะน้ำมันเย็นแบบมากๆ






วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เราได้ผจญภัยท่ามกลางความหนาวในถ้ำน้ำแข็งกับชายหาดน้ำแข็งแล้ว วันนี้เราได้ไป Gullfoss Waterfall กับ Geysir อีก 2 สถานที่ที่ถ้าไม่ไปเยือนถือว่าพลาด ซึ่งทั้ง 2 ที่นี้อยู่ไม่ห่างกันมากสบาย
Gullfoss Waterfall น้ำตกขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างละลองน้ำได้กระจายไปทั่วพื้นที่ ซึ่งดูไปดูมาแล้วมันไม่เหมือนน้ำตกธรรมดาแต่มันดูเหมือนรอยแยกของแผนดินที่มีน้ำมากกว่า



Geysir บ่อน้ำพุร้อนที่จะแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นทุก 5 นาทีโดยเกิดจากพลังงานมวลสารบางอย่างใต้พิภพที่จะปล่อยก๊าซออกมาจนเกิดการปะทุแล้วพลักดันเอาน้ำที่อยู่ในบ่อพุ่งขึ้น และในบริเวณพื้นที่นี้ยังมีบ่อน้ำร้อนที่อยู่ในอุณหภูมิจุดเดือดอีกหลายบ่อ




จริงๆแล้วไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ถ้าช่วงหน้าร้อนก็จะได้พบกับพระอาทิตย์เที่ยงคืน ถ้ามาช่วงฤดูหนาวก็จะได้พบกับแสงเหนือรวมถึงหิมะที่ตกแบบเต็มอิ่มและความเย็นแบบสุดขั้ว
โดยรวมแล้วทริปนี้ เป็นทริปที่เราประทับใจมาก ได้เห็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อนเป็นการเดินทางไปยังอีกซีกหนึ่งของโลก ถึงแม้เราจะอยู่ท่องเที่ยวเป็นระยะเวลาไม่นาน แต่ก็ทำให้เราเห็นว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่มาก จากความฝันในวัยเด็กสู่ความจริง ถ้าใครถามเราว่าประเทศไหนที่เราประทับใจมากที่สุด เรายังคงให้คำตอบเดิมว่าไอซ์แลนด์ และถ้าถามว่าให้กลับไปอีกมั้ยตอบเลยว่าพร้อมทุกเมื่อสำหรับดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้ไอซ์แลนด์
Comments