Go With The Flow In Northern Ireland
- URCHIN presents
- Dec 22, 2017
- 2 min read

"EVERY PICTURE TELLS A STORY"
สิ่งที่เรากำลังจะเขียนคือความรู้สึกที่มีต่อธรรมชาติและสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ภาพถ่ายที่เราได้กลับมามันมีเรื่องราวที่เราอยากจะเล่าให้ฟัง ไหลไปตามโฟลกับเราที่ Northern Ireland นะ
เราใช้เวลาในการตัดสินใจเดินทางมาทริปนี้ไม่นาน ด้วยความรู้สึกที่ว่ามันเป็นประเทศที่ยังสดอยู่ เหตุผลที่สองคือการหนีออกจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ที่เราเบื่ออยู่ในตอนนั้น และที่สำคัญเรามีวีซ่าของอังกฤษอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าใหม่ เพราะประเทศนี้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอณาจักร (United Kingdom) แต่จะอยู่ในส่วนที่เป็นเกาะและติดกับประเทศ Ireland
จุดเริ่มต้นของทริปนี้อยู่ที่ London มุ่งหน้าสู่ Belfast เมืองหลวงของ Northern Ireland เพราะช่วงนั้นเราเรียนอยู่อังกฤษพอดีทุกอย่างมันเลยง่ายเหมือนเราบินจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่นั่นแหละ เราเลือกสายการบิน easyjet คล้ายๆ AirAsia ของบ้านเราเนี่ยแหละ สายการบินราคาประหยัดที่มีค่าจุกจิกตามตามประสา แต่ถ้าอยู่เป็นก็จะประหยัดได้พอสมควรขึ้นอยู่กับว่าเราจะขึ้นจากสนามบินไหนเพราะที่ London ไม่ได้มีแค่สนามบินเดียวนะ
Day 1: Explore Belfast
เท้ายังไม่ทันแตะพื้น เม็ดฝนหยดแล้วหยดเล่า ตกลงมากระทบหน้าต่างเครื่องบินก่อนร่อนลงสู่สนามบินไม่นานเหมือนเป็นสัญญาณการต้อนรับจากธรรมชาติสู่ดินแดนแห่งนี้ วันแรกของทริปก็เริ่มที่ Belfast เนี่ยแหละ ซึ่งการเดินทางที่ง่ายและสะดวกที่สุดก็คือการขับรถและที่ง่ายไปกว่านั้นก็คือที่นี่ขับรถด้านเดียวกับบ้านเราเหมือนฝั่งอังกฤษเลย สบาย
เราเริ่มกันด้วย City Hall สถานที่ที่รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงเรื่องราวการแบ่งแยกประเทศจาก Ireland การเมือง ศิลปะ และวัฒนธรรมครบในที่เดียว ซึ่งการเข้าชม City Hall เราใช้บริการ free walking tour โดยเราสามารถลงทะเบียนตามช่วงเวลาที่ทางเจ้าหน้าที่กำหนดไว้ซึ่งจะมีเกือบทุกๆ ชั่วโมง









City Hall เหมาะสำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์และความเป็นมาเชิงลึกของประเทศนี้ สำหรับเรามันก็น่าสนใจ แต่เราชอบที่จะออกไปดูเมืองหรือคนมากกว่า และด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้เราตัดสินใจโดดทัวร์กลางคันและออกไปเดินเล่นหาอะไรทาน และถ้ามาถึงที่นี้แล้วไม่ได้ทาน Oyster หรืออาหารทะเลเหมือนจะมาไม่ถึง ก็เลยต้องจัด โดยวิธีที่ง่ายที่สุดในการหาร้านก็คือ Google เราเจอร้านที่ชื่อว่า Mourne Seafood Bar ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยกับอาหารทะเลสดๆ พร้อม Ale เย็นๆ ฟินสุด หลุดเลย




หลังจากกินอิ่มเราก็มุ่งหน้าสู่สถานที่ที่น่าสนใจอีกที่นึงในตัวเมือง Belfest นั้นก็คือสถานที่ต่อเรือในตำนานอย่างเรือ Titanic ซึ่งคนที่นี่รู้จักกันในชื่อ Titanic Museum โดยด้านในก็จะมีร้านขายของที่ระลึกและ Exhibition ผสมผสาน Multi media เข้าไปด้วยถือว่าดี แต่เราไม่สามารถนำรูปมาฝากได้เพราะด้านในเค้าไม่อนุญาตให้นำกล้องเข้าไป ถ้าจะเอาเข้าไปก็ต้องจ่ายเงินซึ่งตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้เลยไม่ยอมจ่ายเลยเอาแต่รูปด้านนอกมาให้ดู อดเลยนะยู
จากนั้นเราจะขับรถมุ่งหน้าสู่ที่พักของเราในคืนนี้ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้น Air bnb ระหว่างทางไปยังที่พักมันคือการขับเลียบทะเลไปเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างทางก็มีเรื่องราวให้น่าจดจำมากมายไม่ว่าจะเป็น Happy Rock, Fishing Santa หรือแม้แต่อุโมงค์จิ๋ว ประเทศนี้เป็นอีกประเทศนึงที่มีจำนวนประชากรน้องแกะเยอะพอๆ กันคนก็ว่าได้เพราะ ไม่ไปว่าหันไปไหนก็จะเจอน้องกินหญ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง แล้วก่อนจะถึงที่พักไม่นานฝนก็เริ่มตก อีกแล้ว? ถือเป็นการปิดฉากวันนี้ของเราด้วยดี









Day 2: Follow Game of Thrones
ตื่นมาก็ต้องกินและตามภาษาของ Air bnb หรือ Hostel อยู่แล้วที่จะมีห้องครัวให้เราได้ทำอาหารเพื่อเป็นการประหยัดเงินในการเดินทาง ซึ่งทางที่พักก็จะมีพวกเครื่องปรุงหรืออุปกรณ์ในการทำอาหารไว้ให้เรา แต่ที่นี่มีของแถมให้นั้นก็คือซีเรียลให้เราทานก็ตอนเช้า สบายเป๋าเลย
โดยแพลนคราวมากๆ ของวันนี้คือการไปตามลอยซี่รี่ย์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones นั้นก็คือ The Dark Hedges ถนนที่มีต้นไม้ขนาบ 2 ข้างทางเหมือนอุโมงที่ธรรมชาติสร้างขึ้น, Cushendun Caves ถ้ำที่ใช้ในการถ่ายทำฉากที่แม่มด (Melisandre) ให้กำเหนิดเงาปีศาจ และ Ballintoy beach
เส้นทางระหว่างทางที่ไปจะเป็นเส้นทางที่ต้องขับลัดเลาะเข้าไปในหมู่บ้านเล็กสลับกับถนนรถเลียบชายหาด และบางทีการที่จะไปในสถานที่บางสถานที่ก็ต้องปีนข้ามรั่วที่ใช้สำหรับกั้นน้องแกะเพราะที่ที่ไปมันไม่มีทางให้เดินเข้าแล้วเหมือนมันเป็นซากประสาทเก่าที่ถูกทิ้งร้าง เอาจริงโดยส่วนตัวเราบรรยากาศระหว่างทางมันก็ดีนะ สวยงามในแบบที่ไม่ต้องปรุงแต่งคือมันสวยด้วยตัวของมันเองขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนมองมากกว่า


















จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ Dunluce Castle ปราสาทเก่าที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นอีกสถานที่ถ่ายทำ Game of Thrones ในฉากของ House of Greyjoy โดยตัวปราสาทก็คงหนีไม่พ้นที่จะอยู่ติดทะเล ด้วยอายุที่มากขนาดนี้มันจึงทำให้เรารู้สึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นห้องประหารนักโทษที่ยังคงมีล่องลอยของคมดาบที่กระทบลงบนหิน, ห้องขังของนักโทษเองที่มาลอยแกะสลักบนผนังก็ตามหรือแม้แต่ทางเดินไปท่าเรือโบราณที่ตัวสถานที่เองสามารถบอกเล่าเรื่องราวทำให้เรานึกย้อนถึงภาพของมันได้อย่างไม่ยากนัก








ซึ่งหลังจากนี้เราจะไปพักผ่อนกันที่เมืองชาวประมงเล็กๆที่ Portrush และเป็นเมืองที่เราจะพักกันในคืนที่ 2 เราใช้เวลาไม่นานขับรถจากตัวปราสาทสู่เมืองแห่งนี้ จากการหาข้อมูลเรื่องการกิน Neptune and Prawn เป็นร้านอาหารเอเชียฟิวชั่นที่เป็นที่นิยมของคนในเมืองนี้เลยต้องจัดซะหน่อย แต่ก่อนอื่นเราขอเอากระเป๋าไปเก็บที่ hostel ของเราชื่อว่า Portrush Holiday Hostel สะดวกเพราะมีที่จอดรถ เดินนิดเดียวก็ถึงเมืองละ อีกอย่างใกล้ทะเลอีกด้วยสบาย แล้วเดี๋ยววันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันว่าจะไปไหนต่อแต่ตอนนี้ขอชิลก็เบียร์และบรรยากาศแบบไอริชก่อน




Day 3: Explore The Beauty From Seaside
วันนี้เราให้ไปเลยเต็มวัน กับสถานที่ยอดนิยมของที่นี่เลยก็ว่าได้นั้นก็คือ Giant Causeway พื้นที่ริมชายฝั่งขนาดใหญ่ถึงใหญ่มากที่มีเอกลักษณ์พิเศษ นั้นก็คือแท่งหินสี่เหลียมที่เรียงติดๆ กันและซ้อนกันเป็นชั้นๆ เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานพอสมควรเพราะการเดินหามุมที่จะถามรูปด้านหน้าโดยไม่ติดคนก็ว่ายากแล้ว การกะระยะที่เราจะไม่โดนคลื่นซัดนี่ถือว่ายากกว่า ซึ่งนอกจากบริเวณยอดฮิตติดทะเลแล้ว ยังมีทางให้เดินขึ้นเขา เลียบหน้าผาอีกด้วย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบหรือไม่นิยมเดินกันแน่เราก็ไม่แน่ใจ อาจเป็นเพราะมันต้องให้เวลาในการเดินไปกลับอีกซัก 1 ชั่วโมง ซึ่งสำหรับเรามันเป็นเหมือนทางเดินริมผาที่เงียบที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะนอกจากเสียงลมและคลื่นที่ซัดชายฝั่งแล้ว ก็มีเพียงแค่เราเท่านั้นที่อยู่กับธรรมชาติตรงนี้







เสร็จจากการเดินเที่ยวเล่นใน The Gant's Causeway เราก็มาต่อกันที่ Carrick-a-rede Rope Bridge สะพานเชือกที่เชื่อมกับกับเกาะขนาดเล็ก ที่ชาวประมงในอดีตใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างกระชังดักปลาขนาดใหญ่ โดยระหว่างทางเราก็จะต้องเดินข้ามไอ้สะพานเชือกที่ว่าเนี่ยแหละ เสียวดี








สำหรับวันนี้เราไช้เวลาไปกับการนั่งโง่ๆ ให้ลมกระแทกหน้า นั่งมองนกบินวนไปมาอย่างอิสระ และฟังเสียงคลื่นที่คล้ายกับการฟังดนตรีที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้น นั้นแหละเสน่ห์ของธรรมชาติของเรา ออกทะเลไปไกลละเรากลับเข้าเรื่องดีกว่า หลังจากที่เราใช้เวลาไปเกือบทั้งวันกับพื้นที่ในส่วนของ North Atlantic Ocean หลังจากนี้เราจะมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงเก่าขอพื้นที่บริเวณนี้ในช่วงก่อนการขยายอนานิคมของสหราชอาณาจักร นั้นก็คือเมือง Derry หรือ Londonderry ในปัจจุบัน ซึ่งเราจะพักกันอีก 1 คืนที่เมืองนี้
Day 4: Explore The Peaceful City
Derry เมืองที่เงียบและสงบมากจนบางที่เรารู้สึกว่าเหมือนเป็นเมืองร้างในแบบในหนังเรื่อง Silent Hill ส่วนเรื่องตึกสูงนี่ลืมไปได้เลยเพราะสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในเมืองนี้ก็ยังคงเป็นหอนาฬิกาของพิพิธพันธ์ของเมืองเนี่ยแหละ จริงๆ เมือง Derry ช่วง 1969 - 1972 ไม่ได้สงบอย่างทุกวันนี้เพราะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอย่าง The Irish Republican Army (IRA) ที่พยายามแจกเอาดินแดนส่วนนี้คือจากสหราชอนาจักรถือว่าเป็นเรื่องระดับประเทศเลยก็ว่าได้ในช่วงนั้น
โดยตัวเมืองชั้นของ Derry จะมีกำแพงหินล้อมรอบพร้อมกับปืนใหญ่โบราณที่ใช้ในการปกป้องเมืองในสมัยโบราณซึ่งเราสามารถขึ้นไปเดินชมรอบเมืองได้อย่างสบายเหมือนมี Sky walk ให้เดินเลยโดยประมาณทุกๆ 500 เมตรจะมีบันได้ที่สามารถเดินลงไปยังเมืองได้ สบาย






เราใช้เวลาไม่นานในการเดินเที่ยวรอบตัวเมืองหลังจากนั้นเราก็ออกนอกเมืองอีกครั้งโดยจุดหมายปลายทางของเราก็คือ Massenden Temple ที่มีอายุกว่าเก่าแก่ถึง 200 ปี โดยเจ้าตัววิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูงและติดกับทะเลอีกด้วย มันจึงเป็นสถานที่ที่เราสามารถมองเห็นวิวทะเลและชายหาดได้อย่างสุดลูกหูลูกตา และเช่นเคยการขับรถลัดเลาะชายฝั่งขึ้นเนินบางอะไรบ้างก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการขับรถเที่ยวแทนที่จะใช้ถนนหลัก และสุดท้ายการขับรถแบบนี้มองไปทางไหนก็จะเจอกับน้องแกะ ไม่แปลกใจเลยที่ที่นี่เค้าจะเลี้ยงแกะเพื่อนำเอาขนของมันไปทำเสื้อกันหนาว ซึ่งการเลี้ยงแกะของคนที่นี่คือการเลี้ยงแบบอิสระในทุ่งกว้าง กว้างมากๆ โดยน้องแกะจะถูกผ่นสีบริเวณลำตัวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของของแต่ละฟาร์ม









เราใช้เวลากับที่ Mussenden Temple อยู่นานจนที่นี่ปิดตัวลงอีกทั้งอากาศก็เริ่มเย็นและก็เกิดอาการหิวขึ้นมาหน่อยๆ เราเลยตัดสินใจเดินทางกลับ โดยระหว่างทางได้ขับผ่านร้านอาหารจีนที่มีคนยืนต่อคิวเยอะพอสมควร แต่ที่ร้านนี้เป็นร้านที่ไม่มีที่นั่งทานในร้านต้องซื้อกลับอย่างเดียว ไอ้เราก็อยากชิลด้วยไงพอหลังจากได้อาหารแทนที่จะกลับไปทานที่ Hostel แต่ป่าวครับ ขึ้นรถปัปเปิด Google ดูว่าแถวๆ นี้มีสวนสาธารณะมั้ย จะได้ไปนั่งกินที่นั้น สรุปคือมีเฉยขับรถไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง อ่าวไป นั่งทานอาหารกล่องริมทะเลสาบชิลโคตร แต่วันของเรายังไม่จบแค่นั้นก่อนนอนขอซัก 2 ไพนต์เดี๋ยวกลับที่ The Phoenix Bar แต่สุดท้ายจบลงที่ 6 ไพนต์ เมาครับทั้ง Beer และ Ale ตีกันไปหมด พอจบกลับโรงแรมนอนแต่ที่ยากที่สุดคือการปีนขึ้นเตียง 2 ชั้นเนี่ยแหละบาย




Day 5: The Last Day With Hangover Mood
เรามาเริ่มวันแฮงค์ๆ และวันสุดท้ายของเราที่ Northern Ireland ด้วยการตื่นแต่เช้าออกไปยัง Binevenagh พื้นที่ราบสูงที่ตั้งอยู่ระหว่าง Derry กับ Coleraine โดยที่ Binevenagh นี่เองมีทะเลสาบอยู่ด้านบนด้วยซึ่งสามารถเห็นวิวทะเลได้เกือบรอบตัว ซึ่งวิว 2 ข้างทางก็ไม่ได้มาเล่นนะครับสวยใช้ได้เลย วิ่งเลียบชายฝั่งจาก Derry ด้วยถนน A2 ประมาณ 30 นาที จากนั้นเบียงเข้าขึ้นเนินอีก 15 นาทีก็จะถึงจุดจอดรถที่ติดกับทะเลสาบ บอกก่อนว่าลมข้างบนค่อนข้างแรงมาก









เราใช้เวลาพักใหญ่ไปกับการวิ่ง, เดินและนั่งอยู่บนนั้น แต่สุดท้ายก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับมาทางยัง Belfast เพื่อจะขึ้นเครื่องกลับ London ในช่วงค่ำ แต่ด้วยความที่เราขับรถเร็วไปหรือคำนวนเวลาผิดเนี่ยแหละ เราจึงทำให้เหลืออยู่พอสมควร พอที่เราจะขับรถย้อนลงไปทางใต้เพื่อแวะสถานที่ถ่ายทำ Game of Thrones อีก 2 ที่นั้นก็คือ Inch Abbey และ Audleys Castle โดยสำหรับเราโดยส่วนตัวทั้ง 2 ที่นี้ถ้าคนที่จะมาไม่อินกับซีรี่ย์เรื่องนี้มากๆ หรือคาดหวังว่ามันจะเหมือนในซี่รีย์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจะไม่ผิดหวัง เพราะอย่าลืมว่าซีจีในอุสาหกรรมภาพยนตร์ปัจจุบันสามารถสร้างได้แทบทุกอย่าง รวมไปถึงการเติมปราสาทให้ดูยิงใหญ่เกินจริง นั้นแหละสิ่งที่เราเห็นในซีรี่ย์กับของจริงมันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นะนะ






และแล้วความสงบของเรากับธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนที่นี่ก็ถึงคราวที่จะต้องแยกจากกัน พร้อมกลับเข้าสู่โหมดปกติในการใช้ชีวิตต่อไป ซึ่งสิ่งที่เราได้จากการมาเที่ยวที่นี่คือการที่เราได้เอาตัวเราเข้าไปสัมผัสปะปนกับสิ่งสิ่งแวดล้อมที่นี่ อากาศแปรปรวนที่สอนให้รู้จักเตรียมตัว ผู้คนที่สอนให้รู้ว่ามีคนไม่ดีไม่ได้แปลว่าจะไม่มีคนดีกับร้อยยิ้มไม่ได้หาได้ยากเลย และการนั่งเฉยๆมันไม่ได้เสียเวลาเลยแรกกับการอยู่กับตัวเอง
จริงๆ เราว่าการเดินทางแบบที่ไม่ต้องมีแผนอะไรมากมายมันก็มีทั้งขอดีและข้อเสียในตัวของมันเองนะ อยู่ที่ว่าเราจะพอใจที่จะเอาตัวเราไปยืนอยู่ตรงไหนต่างหาก สำหรับเราการให้เวลาในสถานที่ที่เราอยากจะใช้กับมันนานๆ เราก็ใช้เพราะตัวเราเองก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกมั้ย มันอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเรากับสถานที่เหล่านี้ คำที่เราเคยชอบพูดจนติดปากคือ "เดี๋ยวไว้มาใหม่" เอาจริงๆ ไม่ว่าจะที่ใกล้หรือไกลการที่เราพูดแบบนี้ออกไปแสดงว่าเราได้มองข้ามความสวยงามของสถานที่เหล่านั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ที่สามารถอ่านจนจบได้ ถือว่ามีสมาธิมากพอสมควรเลยที่เดียวในการอ่านเรื่องของผม แต่อยากจะบอกเลยว่าที่ Northern Ireand เป็นประเทศที่สามารถขับรถเที่ยวได้ง่ายมากๆ ไม่เชื่อมาลองกันได้
กด Follow ติดตามกันได้ที่นี่ตามนี้เลย
Website : www.urchintravel.com
Facebook : www.facebook.com/urchintravel
Instagram : @urchin_travel
กด Follow ติดตามกันได้ที่นี่ตามนี้เลย
Website : www.urchintravel.com
Comments