13 Days In Morocco, Part 1
- URCHIN presents I 13 Days In Morocco I Part 1
- Mar 18, 2017
- 2 min read

Morocco...
และแล้วประเทศนี้ก็ได้มาอยู่ในลิสประเทศที่น่าจดจำของเรา ประเทศที่ว่านี้อยู่ในทวีปแอฟริกาตอนเหนือ มีสะพานข้ามทะเล "Mediterranean เชื่อมกับประเทศ Spain ข้อมูลทั้งหมดนี้ได้จากการดูช่อง Discovery ตอนเด็กๆ ประเทศนี้เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เราฝันว่าจะต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต ความน่าตื่นเต้นของทริปนี้คือ Morocco เป็นประเทศอาหรับและประเทศในแอฟริกาประเทศแรกที่เราไปเยือน หนึ่งในสถานที่ที่ใฝ่ฝันคือทะเลทรายซาฮาราที่เราเคยเห็นในหนังตอนเด็กๆ อย่างเรื่อง "The Mummy" หรือ "Sahara" และแล้วเราก็ได้ทำตามความฝันของเรา ทำให้เราได้เห็นสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมใหม่ๆ แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน การเดินทางทำให้เราเรียนรู้ เข้าใจ และเคารพความแตกต่างของสังคมในอีกซีกโลกหนึ่ง มันทำให้เรามองโลกนี้เปลี่ยนไปและเปิดใจไปกับมัน
เราขอแบ่งการเดินทางครั้งนี้ออกเป็น 3 Parts เนื่องจากแต่ละเมืองที่เราไปมีความน่าประทับใจมากมายต่างๆกันออกไป โดยแบ่งออกเป็น
Part 1 คือ Rabat-Casablanca-Marrakesh
Part 2 คือ Marrakesh-Ouarzazete-Sahara area-Fes
Part 3 คือ Fes-Chefchaouen-Rabat

แผนการเดินทางของเราคือ Rabat, Casablanca, Marrakesh, Ouarzazete, Sahara, Fes และ Chefchaouen
ทั้งหมด 13 วัน 12 คืน ในดินแดนแห่งนี้
วันที่ 1 Rabat
วันที่ 2 Casablanca
วันที่ 3 Marrakesh
วันที่ 4 Marrakesh
วันที่ 5 Marrakesh
วันที่ 6 Ouarzazete
วันที่ 7 Sahara
วันที่ 8 Fes
วันที่ 9 Fes
วันที่ 10 Chefchaouen
วันที่ 11 Chefchaouen
วันที่ 12 Rabat
วันที่ 13 Rabat
ก่อนที่เราจะออกเดินทาง เราต้องไปทำวีซ่าที่สถานทูต Morocco ก่อน โดยวีซ่าท่องเที่ยวจะมีระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่เราออกเดินทาง (เราทำเอกสารทั้งหมดที่ลอนดอน และเริ่มต้นการเดินทางของเราจากลอนดอน เช่นกัน) พอเตรียมเอกสารเรียบร้อย เราก็พร้อมสำหรับการออกเดินทาง เรามาเริ่มต้น 13 Days In Morocca Part 1 ของเรากันเลย!!!
การเดินทาง เราสามารถเลือกที่จะบินไปลงที่ Casablanca ได้ แต่เราเลือกที่จะเริ่มการเดินทางของเราที่ Rabat เพราะเราจะได้เดินทางเป็นวงกลมไม่ย้อนไปย้อนมาตามแผนที่ที่ประกอบด้านบนเลย

กว่าเราจะมาถึง Rabat เมืองหลวงของประเทศ ก็เริ่มจะเย็นละ สิ่งแรกที่เราทำคือการแลกเงิน โดยแลกกันที่สนามบินเนี่ยแหละใช้ Euro แลกเป็น Dirham หลังจากนั้นก็ออกไปหาพี่แท็กซี่ที่เราได้ติดต่อกับทางเจ้าของ Air bnb ให้มารับ เพราะจากที่หาข้อมูลที่อ่านมาคนประเทศนี้นอกเหนือจากภาษาอาราบิกที่เค้าใช้กันทั่วไปแล้ว ภาษาที่ 2 ของคนที่นี่คือภาษาฝรั่งเศสไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ส่วนทางตอนเหนือจะใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาที่ 2 เราเลยแก้ปัญหาในการเดินทางไปก่อนในวันแรกเพราะเรายังไม่มีซิมการ์ดในการเสิร์ชหาข้อมูลใดๆทั้งสิ้น

ใช้เวลาไม่นานจากสนามบินไปถึง Air bnb ที่จะเป็นที่พักของเราคืนนี้ พอหลังจากที่เราจัดเก็บของเรียบร้อย ไม่นานก็มีเสียงเพลงดังแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และที่สำคัญคือฟังไม่ออกเลย เราเลยไปถามเจ้าของบ้านว่าเสียงดังมาจากไหน คำตอบที่ได้คือเสียงเพลงจากงานแต่งงานที่อยู่ไม่ไกล แล้วเค้าก็ถามเราว่าอยากไปมั้ย? ไปได้ด้วยหรอ? อะไปก็ไป ทุกวันนี้ยังงงอยู่เลยเพราะเราถึงประเทศนี้ไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็ได้ไปงานแต่งใครก็ไม่รู้


ด้วยความที่เป็นประเทศอิสลามการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลจึงเป็นเรื่องที่ผิดและไม่เป็นที่นิยม ในงานก็จะเสริฟเป็นนมแพะกับเค้กแล้วก็ลูกอินทผาลัม เด็กๆในงานก็มาเล่นกับเราตลอด เอะอะจะขอถ่ายรูป เรียกได้ว่าเป็นการตอนรับสู่ประเทศนี้อย่างอบอุ่นและรวดเร็วมากเสมือนเราเป็น หนึ่งในญาติพี่น้องของเค้าจริงๆ กับงานแต่งงานของคนท้องถิ่นแท้ๆที่เราไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน และแล้วก็ถึงเวลาจากลาเพราะพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางไปยังจุดหมายถัดไป แต่ยังไงเราก็จะได้กลับมาที่เมืองนี้อีกครั้งในอีก 11 วันข้างหน้า

หลังจากที่เราได้นอนพักอย่างไม่เต็มอิ่มซักเท่าไหร่ ก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอารหารเช้าที่คุณป้าเตรียมไว้ให้ ก่อนที่เราต้องออกเดินทางสู่ Casablanca เมืองที่มีแต่คนทักเราว่า "หนี่ห่าว"


การเดินทางไป Casablanca เราเลือกที่จะเดินทางโดยรถไฟ เพราะมันสะดวกและใช้เวลาไม่นาน แค่ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยตัวรถไฟจะแบ่งออกเป็น 2 ราคาซึ่งต่างกันไม่มาก เราแนะนำให้เลือกแบบ VIP ไปเลย สบาย แอร์อย่างเย็น

ที่ Casablanca ถ้าสังเกตดูดีๆ ตึกส่วนใหญ่จะใช้สีขาวเป็นหลัก และอีกสิ่งหนึ่งที่มักจะเห็นอยู่รอบๆเมือง คือต้นปาล์มสูง เรียงรายกันเป็นช่วงๆ การเดินทางในตัวเมืองก็ไม่ยากมาก เพราะที่นี่มีรถราง (tram) วิ่งรอบๆเมือง แต่ถ้าใครเดินทางมากกว่า 2 คนขึ้นไปแนะนำให้นั่งแท็กซี่ ซึ่งจะมีอยู่ 2 แบบ คือรถใหญ่เป็นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีเหลือง กับรถแท็กซี่เล็กสีขาวที่มีป้ายสีเขียวอยู่ด้านบนรถ ที่สำคัญคุยเรื่องราคาให้ดีก่อนและควรต่อรองราคาจากที่เค้าบอกประมาณ 20 - 30 เปอร์เซ็น ถึงจะเป็นราคาที่พอเหมาะ เพราะผมก็เจ็บตัวมาเหมือนกัน


สิ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับการมาเที่ยวที่ Casablanca เลย คือมัสยิด Hassan II Mosque ที่เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของโมร็อคโคและใหญ่เป็นอันดับ 13 ของโลก โดยตัวมัสยิดตั้งอยู่ริมทะเลและถูกตกแต่งด้วยลวดลายโมเสคตามสไตล์อาหรับที่ละเอียดและสวยงามมาก แนะนำว่าไปเถอะ




หลังจากเสร็จจากการเดินดูรอบๆ สิ่งที่ทำต่อไปคือการนั่งชิลอยู่ริมทะเลถัดจาก Hassan II Mosque ที่จะมีคนเดินมาขายกาแฟอย่างไม่ขาดสาย สักพักก็ถึงเวลาออกสำรวจเมืองแห่งนี้ซึ่งคงจะหนีไม่พ้นการเดิน โดยเราแพลนไว้ว่าจะเดินจากที่นี่กลับบ้านพักเพื่อที่จะตัดปัญหาเรื่องภาษาที่ไม่สามารถคุยกันได้รู้เรื่องอีกอย่างก็ขี้เกียจต่อราคากับคนขับแท็กซี่ เพราะเอาเข้าจริงรู้สึกเหมือนเราเป็นฝรั่งที่มาเที่ยวเมืองไทยแล้วโดนแท็กซี่โกงเงินค่าโดยสาร แต่ทุกที่มันก็มีทั้งคนดีคนไม่ดีแหละ ช่างเหอะ สรุปว่าเดิน!



โดยระหว่างทางเดินกลับที่พักเหมือนเราได้เดินผ่านโซนเมืองเก่าที่แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ตึกสีขาวและต้นปาล์มได้หายไป เราได้เดินเข้าสู่ตลาดและโซนที่อยู่อาศัยของคนที่นี่ ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่อย่างแท้จริง ของที่ขายแบกันดินเหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา มีเด็กๆ วิ่งเล่นไปมา
สำหรับวันนี้อาหารเย็นก็คืออาหารแช่แข็ง เพราะมีเวลาไม่มากพอในการหาซื้อของสดที่สะอาดและปลอดภัย เพราะจากที่เดินดูในตลาดแล้ว การทานอะไรสุ่มเสี่ยงอาจจะเป็นอันตรายต่อท้องเราได้
เช้าวันรุ่งขึ้นกับการเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนแห่งนี้ เราเลือกที่จะเดินทางโดยรถไฟเช่นเคย เพื่อไปยัง Marrakesh เมืองที่เรียกได้ว่าถ้าไม่ไปเมืองนี้ก็เหมือนมาไม่ถึง Morocco ก็ว่าได้ เราใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง โดยอุณหภูมิภายนอก 40 กว่าองศา บรรยากาศก็อย่างที่เห็นเลยครับว่าถ้าไม่มีแอร์เราคงตายกันไปนานแล้วบนรถไฟ ด้วยความที่ระยะเวลาในการเดินทางนานพอสมควร บนรถไฟจึงมีขนมและเครื่องดื่มขาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออินทผาลัมผลไม้ฮิตติดชาร์ตของคนที่นี่





แล้วเราก็มาถึง Marrakesh เมืองตากอากาศยอดนิยมของชาวยุโรป ที่เมืองถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ย่านเมืองใหม่และเมืองเก่าที่เรียกกันติดปากว่า "Medina" เราพักอยู่ย่านเนี่ยแหละ Air bnb เหมือนเดิมโดยจากที่พักที่เราไปพักใช้เวลาเดินเท้าไปจัตุรัสกลางเมือง Jemaa el-Fnaa แค่ 3 นาทีเรียกว่าใกล้มากๆ และเป็นแหล่งรวมทุกอย่าง ทั้งคนมาขายของที่ระลึกต่างๆ ซุ้มขายน้ำส้มที่ตั้งเรียงกันอยู่หลายซุ้มรอบๆจัตุรัส แล้วยังมีโชว์การแสดงลิงและเป่าปี่เรียกงูให้เห็นอยู่ทั่วไป





หลังจากที่เราได้เดินดูเมืองกันพอสมควรก็เย็นแล้วเพราะกว่าเราจะมาถึงที่นี่ก็บ่ายแก่ๆแล้ว เอาเป็นว่าไปหาอะไรทานแล้วกลับที่พักก่อนดีกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาลุยกันต่อ บาย
เช้าวันรุ่งขึ้นกับที่นี่ Marrakesh เรามาเริ่มเช้าวันใหม่กับอีกที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดนั้นก็คือ Jardin Majorelle สวนที่ออกแบบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Jacques Majorelle จากนั้น Yves Saint-Laurent ก็ได้ซื้อวิลล่าที่นี่ต่อ เพื่อใช้เป็นบ้านตากอากาศและที่ทำงานและหลังจากนั้นก็ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์



หลังนั้นเราก็ย้อนกลับมาที่ Merdina อีกครั้งเพื่อไป Ben Youssef Madrasa โรงเรียนสอนศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโมร็อคโคตกแต่งด้วยหินและกระเบื้องแกะสลักอย่างงดงาม เป็นสถาปัตยกรรมโบราณที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 14


จากการเที่ยวในตัวเมือง Marrakesh เมื่อว่านวันนี้เราจะออกไปทางตอนใต้ของเมืองโดยจุดประสงค์หลักของเราเลือกคือซื้อพรมที่หมู่บ้านที่เป็นแหล่งผลิตเลย เพราะราคาถูกกว่าในตัวเมืองเกือบครึ่งนึง และก็นั่งรถเล่นโดยมีคนขับรถส่วนตัวที่เราเจอบนรถไฟจาก Casablanca มาที่ Marrakesh โดยหมู่บ้านที่เราจะไปมีชื่อว่า Ourika ซึ่งต้องขับรถขึ้นไปบน Middle Atlas

จริงๆแล้วทริปนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นความบังเอิญที่เราเจอคุณลุงคนนี้บนรถไฟบวกกับการขายทัวร์ที่น่าสนใจเลยทีเดียวเพราะไม่มีการผูกมัดหรือพูดอะไรมากแค่บอกว่าเราจะได้อะไร เจออะไรแล้วก็การทิ้งนามบัตรไว้พร้อมกับคำว่า "Call me my friend OK!!??"


เอาเริ่ม ไปกันลุง!!! หลังจากที่เราโทรติดต่อลุงแก่ก็มารับที่จัตุรัสกลางเมือง ซึ่งจุดนัดพบที่ดีที่สุดคือ Cafe de paris เพราะเป็นตึกที่สูงที่สุดในจัตุรัสและยังมีอาหารเช้าบวกกับกาแฟให้ทานขณะนั่งรอคุณลุงด้วย
โดยระหว่างทางที่ไปก็จะเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่อย่างแท้จริงเพราะเป็นการเดินทางไปสู่ชุมชนนอกเมืองและธรรมชาติที่สมบูรณ์ แตกต่างจากในเมืองที่เป็นสถานที่ที่ถูกประดิษฐ์เพื่อรองรับนักท่องเท่ียว




แล้วเราก็มาถึง Ourika Village หิวสิครับ สิ่งแรกที่ทำคือหาอาหารทานก่อนเลย โดยจะมีร้านอาหารอยู่ริมลำธารที่ไหลลงมาจาก Upper Atlas พร้อมกับมีน้องอูฐคอยให้บริการสำหรับคนที่ขึ้นไปเที่ยวน้ำตกด้านบน ซึ่งเดี๋ยวเราจะขึ้นไปหลังจากทานอาหารเสร็จเนี่ยแหละ



หลังจากที่เราจัดการกับ Tagine อาหารยอดนิยมของคนที่นี่ โดยถ้าเปรียบเทียบกับเมนูบ้านเราก็เปรียบได้กับกะเพราไก่ไข่ดาวเนี่ยแหละ
อิ่มท้อง เอ้าหน้าเดิน!! สรุปคือเราไม่ได้ใช้บริการน้องอูฐ เราตัดสินใจที่จะเดินขึ้นสู่ด้านบนของภูเขาทางด้านหลังของหมู่บ้านเพื่อไปสัมผัสกับน้ำตกที่มีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำแข็งด้านบนของเทือกเขาได้ละลายลงจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในช่วงหน้าร้อน ซึ่งชาวบ้านบอกว่าน้ำตกที่ไหลลงมาเย็นมาก ไอ้เราก็อยากลองเพราะเดินขึ้นมาเหนื่อยๆ อยากจะแช่น้ำเย็นๆ แต่ปรากฏว่าแค่เอาขาจุ่มลงไปก็พอละกันเพราะน้ำเย็นจริง อย่างที่เค้าว่าเลย


ระหว่างเส้นทางที่เดินขึ้นมายังน้ำตก ก็มีร้านค้าขายของที่ระลึกของกลุ่มชาวบ้านที่นี่ ซึ่งที่สะดุดตาเราที่สุดก็คือหินแกะสลักเป็นรูปเทพต่างๆ ที่คนที่นี่นับถือ โดยหินที่นำมาใช้ในการทำก็คือหินบนเทือกเขา Atlas เนี่ยแหละ แต่สิ่งที่สำคัญพอๆก็หน้าตาของหินแกะสลักก็คือเจ้าหินที่นำมาทำเนี่ยจะเย็นอยู่ตลอดเวลา ไม่เชื่อก็เชื่อเหอะเย็นกว่าหินปกติจริงๆ
อีกอย่างที่สะดุดตาเราและอดที่จะถามไม่ได้คือ ตู้เย็นของร้านขายน้ำ เพราะเค้าใช้น้ำจากน้ำตก มาพ้นใส่เครื่องดื่มต่างไม่เว้นแม้แต่ผลไม้สดเพื่อใช้ความเย็นจากน้ำมาทำให้อุณหภูมิบริเวณตู้เย็นของเค้าลดลง



หลังจากที่เสร็จจากการเที่ยวชมน้ำตกเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เรารอค่อยนั่นก็คือการไปที่โรงงานพรมที่เป็นที่ขึ้นชื่ออันดับต้นๆของประเทศ โดยตัวพรมเองก็มีราคาที่ลดหลั่นกันไปตามขนาดและวัตถุดิบที่นำมาใช้ รวมถึงลวดลายของการออกแบบอีกด้วย
ซึ่งหลังจากที่เราได้ซื้อพรมกันเป็นที่เรียบร้อย ถัดมาจากโรงงานพรมเพียงไม่กี่กิโลเมตร ก็มีกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันผลิตน้ำมันอากันซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของประเทศนี้ โดยทางชุมชนมีการสาธิตขั้นตอนในการสกัดตัวน้ำมันอย่างเปิดเผยและเป็นกันเอง



จบจากการช็อปปิ้ง ชมธรรมชาติ เราก็เดินทางกลับ Marrakesh เพื่อพักผ่อน และเตรียมตัวสำหรับการเดินทางต่อ ซึ่งตอนนี้เราก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของ 13 Days In Morocco Part 1: Rabat - Casablance - Marrakesh กันเป็นที่เรียบร้อย ติดตามเราได้ใหม่ใน 13 Days In Morroco Part 2: Ouarzazete - Sahara - Fes กันต่อได้ที่ www.urchintravel.com, www.facebook.com/urchintravel หรือคลิกตามลิ้งด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ ---
Comments