13 Days In Morocco, Part 2
- URCHIN presents I 13 Days In Morocco I Part 2
- May 22, 2017
- 2 min read

Continue
กลับมาแล้วหลังจากที่ให้รอกันอยู่นาน เราออกเดินทางกันต่อใน 13 Days In Morocco Part 2: Ouarzazete - Sahara - Fes
หลังจากที่เราใช้เวลาไปกับการเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชาวบ้านและธรรมชาติที่สมบูรณ์ของเทือกเขา Atlas วันนี้เราจะเดินทางสู่สถานที่ที่เรารอคอยที่จะได้มาสัมผัสซักครั้งในชีวิตกับทะเลทราย Sahara
ต้องบอกก่อนว่าทะเลทราย Sahara เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ครอบคลุมพื้นที่หลายประเทศในทวีปแอฟริกา โดย Morocco เหมือนจะเป็นประเทศที่พาเราเข้าสู่ทะเลทรายแห่งนี้ได้ง่ายที่สุดเพราะปลอดภัยและมีระบบการจัดการที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ การเดินทางไปยัง Sahara เราสามารถเลือกระยะเวลาในการเดินทางได้ตามสะดวก ตั้งแต่ 3 - 9 วัน โดยราคาก็ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เดินทางและลักษณะของการเดินทาง บริษัทที่เราใช้คือ Top Desert ซึ่งรายละเอียดการเดินทางสามารถศึกษาเพิ่มเติมตามลิ้งค์ด้านล่างได้เลย
Info: http://www.topdesert.com/morocco-tours/marrakech-to-fes-desert-tour-via-erg-chebbi-dunes-in-merzouga-desert
Day 1 : Marrakesh - Tizi n'Tichka Pass - Telouet - Ait Benhaddou Kasbah - Ouarzazate - Skoura - Dades Gorge
การเดินทางในครั้งนี้ก็มีสถานที่ที่สวยงามให้แวะชม ชิว ช๊อปมากมาย ซึ่งสุดท้ายก็แล้วแต่เราว่าจะจอดมั้ย ได้หมดเลยแค่ตีซี้กับคนขับรถของเราเนี่ยแหละชีวิตก็จะสบาย อ้าวเริ่ม!!!
เราออกเดินทางจาก Marrakesh แล้วไปจบที่เมือง Fesโดยเราได้นัดกับพี่คนขับรถให้มารับเราที่จตุรัสกลางเมืองบริเวณ Medina ซึ่งพี่คนขับชื่อนาย "อับดุลเลอะ" หลังจากที่เราคุยกับพี่คนขับรถให้แน่ใจว่าเค้ามาจากบริษัทที่เราได้จองไว้ก็เริ่มออกเดินทางได้ วันนี้เราจะเดินทางทั้งหมด 330 กิโลเมตร โดยจะแวะค้างคืนกันที่ Dar Essyaha แถวๆ Dades Gorge ซึ่งตลอดทั้งวันเราใช้เวลาอยู่กับการขับรถเที่ยวตามรายทางไปเรื่อยๆ อยากจอดตรงไหนก็บอกพี่ "อับดุลเลอะ" เดี๋ยวพี่แกจัดให้

ถนนเส้นนี้ตัดผ่าน High Atlas mountains อยู่ทางที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง Marrakesh ไปยังเมือง Ouarzazate และเป็นเส้นทางหลักสำหรับการเดินทางสู่ทะเลทราย Sahara ซึ่งในช่วงฤดูหนาวถนนเส้นนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ช่วงที่เราไปคือช่วงต้นเดือนพฤษภาคมโดยช่วงนี้แดดแรงและร้อนพอสมควร


Telouet เป็นเมืองที่เป็นป้อมปราการโบราณและสถานที่พักผ่อนสำหรับพ่อค้าในสมัยโบราณที่ต้องการเดินทางค้าขายและต้องข้าม Atlas mountains ซึ่งเป็นอีกสถานท่ีนึงที่เราได้แวะลงไป หมู่บ้านแห่งนี้มีอายุที่เก่าแก่พอสมควร เวลาเดินอาจจะต้องระมัดระวังซักนิด เดี๋ยวจะไม่ได้ไปต่อเพราะทางเดินอาจจะยุบตัวลงมาได้ ด้วยความเก่าของสิ่งก่อสร้างนี้เอง จึงทำให้อีกฟากนึงของถนนมีอีกหมู่บ้านนึงเกิดขึ้น ซึ่งเราว่ามันคือสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมจากอดีตถึงปัจจุบันของคนที่นี่



ก่อนจะถึง Ouarzazate จะมีหมู่บ้านโบราณชื่อ Ait BenHaddou Kasbah ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ เราเลยบอกให้ อับดุลเลอะ จอดรถหาอะไรทานที่หมู่บ้านแห่งนี้เลย ซึ่งตัวหมู่บ้านถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือด้านที่เราขับรถเข้ามากับด้านที่เป็นเมืองโบราณ โดยฝั่งที่เราขับเรามาเรียกได้ว่าเป็นโซนเมืองใหม่ เป็นที่รวมตัวของที่พักราคาแพงในแถบนี้เลยก็ว่าได้ รวมถึงมีภัตตาคารให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนฝั่งที่เป็นเมืองเก่าเรียกได้ว่าเป็น Highlight ของวันนี้เลยก็ว่าได้ เพราะไอ้ตัวเมืองโบราณแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ใช้เป็นฉากในการถ่ายทำ Game of Thrones Season 3 ตอนที่ Daenerys Targaryen จะเข้ายึดเมือง Yukai


หลังจากที่เราทานอาหารกลางวันเสร็จก็ไม่รอช้าที่จะออกเดินข้ามแม่น้ำไปยังเมืองโบราณแห่งนี้ ซึ่งด้านบนมีวิหารเก่าตั้งอยู่และเป็นสถานที่ที่เราสามารถชมวิวรอบโดยรอบของเมืองนี้อีกด้วย โดยระหว่างทางเดินขึ้นไปยังวิหารด้านบนก็มีชาวบ้านนำของที่ระลึกออกมาขายตามทางทั้ง พรม เครื่องประดับต่างๆ หรือแม้กระทั่งอาวุธ


เราใช้เวลาไม่นานก็มาถึงวิหารด้านบนของเมืองแต่ก็เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่วิวที่เราได้สัมผัสนั้นมันก็แปลกไปอีกแบบ ให้ความรู้สึกเหมือนเมืองที่เราอยู่เป็น Oasis ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่ว่างเปล่า



มาถึงเมือง Ouarzazate เมืองที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งความเจริญสุดท้ายที่คุณจะหาได้ เมื่อคุณผ่านเมืองนี้ไปแล้วก็เหลือแต่เมืองเล็กๆ ที่จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากนัก ก่อนเข้าตัวเมืองจะมีสตูดิโอถ่ายหนังที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งเอาเข้าจริงประชาชนมากกว่าครึ่งของเมืองนี้เคยเล่นหนัง Hollywood มาแล้วอย่างน้อยคนละ 2 เรื่อง เพราะหนังที่เกี่ยวข้องกับทะเลทรายส่วนใหญ่มักจะมาใช้สตูและตั้งกองถ่ายกันที่เมืองแห่งนี้ เช่น The Mummy, Gladiator, Kingdom of Heaven แม้แต่ซีรีย์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones



Skoura คือ Oasis ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความแห้งแล้งของพื้นที่แห่งนี้ โดยต้นไม้ส่วนใหญ่ที่ขึ้นบริเวณนี้คือต้นไม้ที่ผลของมันสามารถนำไปผลิตน้ำมันอาร์แกนที่ขึ้นชื่อของประเทศนี้ โดยบริเวณรอบเป็นทิวเขาที่มีพื้นตะปุ่มตะป่ำที่ดูไปดูมาเหมือนสมองคนยังไงก็ไม่รู้




หลายล้านปีก่อน Dades Gorge อยู่ภายใต้ท้องทะเลจึงทำให้ลักษณะพื้นที่มีความหลากหลายโดยเฉพาะก้อนหินตามช่องเข้าที่เหมือนจะโดนแรงกดจาก
มหาสมุทรทำให้เป็นอย่างที่เห็นแหละครับ
ส่วนพี่ "อับดุลเลอะ" ก็ขายที่นี่ไว้ซะดิบดี บอกว่าที่นี่คือที่ท่ีเค้าชอบมากที่สุด อยากจะพาแฟนของพี่แกมาเที่ยวที่นี่แต่ยังไม่มีโอกาสซักที แค่ได้นั่งดูวิวบนนี้กับถนนที่พยายามเอาชนะธรรมชาติ และความเงียบสงบของช่องเขาแห่งนี้ก็ดีมากแค่ไหน แต่เราขอนอนยันเลยว่าบริเวณแถบนี้มันเงียบจริงๆนะ




หลังจากที่เราได้ชมวิวเสร็จก็เข้าที่พักที่ Dar Essyaha ซึ่งเราบอกตามตรงว่าเราเหนื่อยเกินกว่าที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป แต่ที่สำคัญคือเราได้ซื้อเบียร์มาจากเมือง Ouarzazate คือพอถึงที่พักก็ฝากพนักงานเค้าแช่เบียร์เอา ส่วนเราไปอาบน้ำแล้วก็ออกมาทานเมื้อเย็นตบเบียร์เย็นๆแล้วก็นอน คือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในประเทศนี้หายากมากเพราะเป็นประเทศมุสลิมแต่เราก็หามันมาจนได้และด้วยคุณค่าของมันทำให้เราใช้เวลาในการดื่มด่ำนานเป็นพิเศษ ส่วนวันพรุ่งนี้เจอกันแน่ทะเลทราย Sahara ไปละบาย
Day 2 : Dades Gorge - Todra Gorge - Rissani - Erg Chebbi Desert Camp
เมื่อวานเราคงใช้ร่างกายสุดจริง เพราะหลังจากที่เราแยกกับอับดุลเลอะพอถึงห้อง สิ่งแรกที่เราทำคือนอนแบบ น้ำก็ไม่ได้อาบ เสื้อก็ไม่ได้เปลี่ยนไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง เป็นการจบวันที่ดี สบาย วันนี้วันที่ 2 ละเรามาเริ่มด้วยที่นี่

Todra Gorge หุบเขานี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของ High Atlas โดยมีแม่น้ำ Dadas ไหลผ่านและมีความยาวกว่า 40 กิโลเมตร บางช่วงของหุบเขานี้มีความกว้างเพียง 10 เมตร เท่านั้น ช่องเขานี้เป็นที่นิยมสำหรับนักปีนผาทั้งแบบ Free hand climbing หรือ Sling rock climbing และยังสามารถเดินขึ้นไปด้านบนของหน้าผาเพื่อเดินลัดเลาะชมวิวตามอัธยาศัย


Rissani เมืองเล็กๆเมืองสุดท้ายก่อนเข้าสู่พื้นที่ของทะเลทราย Sahara อย่างเต็มตัว หลังจากนี้คือไม่อะไรนอกจากท้องฟ้า ทะเลทราย และก็เรา ด้วยความที่เป็นเมืองที่อยู่ติดขอบทะเลทรายจึงเป็นที่สำหรับกิจกรรมต่างๆที่ใช้พื้นที่ทะเลทรายเป็นสิ่งจูงใจไม่ว่าจะเป็น ขี่น้องอูฐ ขับ ATV หรือแม้แต่ห้องพักราคาถูกสำหรับนักเดินทางที่จะเดินไปยังเมือง Fes หรือ Marakesh ซึ่งสำหรับเรา เราเลือกที่จะผ่านเมืองนี่ไปเพื่อไปใช้เวลาในช่วงเย็นของวันนี้ที่ Erg Chebbi Desert Camp


หลังจากที่เราออกจาก Rissani ทุกอย่างค่อยๆเปลี่ยนไปสู่ความว่างเปล่าที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้น จากทุ่งหญ้าแห้งๆที่อยู่รอดท่ามกลางอากาศที่แห้งแล้งสู่ทะเลทรายขนาดใหญ่ที่มีเม็ดทรายละเอียดเหมือนผงแป้งตลับศรีจันทร์ ในบางช่วงของการเดินทางลมพายุได้พัดทรายขึ้นมาปกคลุมถนนทำให้การมองเห็นลดลงมาก แต่สำหรับเรามันเหมือนเห็นเม็ดทรายมาเต้นบนกระดานสีดำให้เราดู



รถไม่สามารถไปส่งเราถึงที่แค้มป์ได้ดังนั้นพาหนะที่เราจะใช้เดินทางเข้าสู่ทะเลทรายนั้นคงจะหนีไม่พ้นน้องอูฐแห่ง Sahara โดยสิ่งที่เราควรจะเตรียมตัวก่อนขึ้นหลังน้องอูฐมีอยู่ไม่กี่อย่าง
1. แว่นกันแดด สำหรับกันทรายเข้าตาโดยเราไม่มีทางรู้หรอกว่ามันจะพัดมาตอนไหน
2. ผ้าพัน สำหรับป้องกันส่วนที่อยู่บนคอเราทั้งหมด ผม, หู, ตา, จมูก และปาก เพราะทรายมันจะเข้าไปอยู่ในทุกที่แน่นอนเชื่อเรา
3. เสื้อกันลมหรือกระเป๋า สำหรับเก็บกล้องหรือโทรศัพท์เวลาที่ลมพัดทรายเข้ามาตอนเราอยู่บนหลังน้องอูฐ
น้องอูฐที่เราขี่ชื่อ "Obama" เพราะมันเป็นอูฐที่มีสีดำซึ่งเราอาศัยพลังของมันจากจุดเริ่มต้นจนถึง Erg Chebbi Desert Camp ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ขึ้นๆลงๆตามสันทราย บางทีก็โดนระอองฉี่น้องหรือน้ำลายของมันพัดเข้าหน้าบ้างปนๆกันไป



แล้วเราก็มาถึงแค้มป์โดยสิ่งแรกที่เราทำหลังจากมาถึงแค้มป์คือการเล่น Sand boarding แต่สิ่งที่ไม่สนุกเลยของกิจกรรมนี้คือการการเดินขึ้นเนินทราย (Sand dune) ที่จะเป็นจุดทิ้งตัวลง แนะนำนิดนึงคือควรหารองเท้าหุ้มข้อเพื่อป้องกันข้อเท้าเราจากตัวล็อคของ Board
อีกสิ่งหนึ่งที่เราใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กคือการได้นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินหรือตกทรายเนี่ยแหละ มองไปทางไหนสิ่งที่เห็นก็มีแต่ความว่างเปล่า แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตให้เราได้เห็นเลยนอกจากมนุษย์และอูฐ เราว่ามันสวยดีเพราะขอบฟ้าของเราเวลาที่อยู่ในทะเลทรายมันไม่ได้ตรงเสมอไป มันมีความโค้งเอียงที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ลมที่พัดเม็ดทรายไปมาทำให้รูปร่างหน้าตาของเนินทรายเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับคลิป Timelapse ด้านล่าง ที่เราใช้เวลาตั้งกล้องอยู่นานพอสมควรเพราะลมพัดแรงจนทรายที่ยึดขาตั้งกล้องของเราเปลี่ยนรูปเลยทำให้กล้องทรุดลง
อีกความประทับใจคือ ความเงียบของมันเนี่ยแหละที่ทำให้เราได้ยินเสียงของธรรมชาติได้มากขึ้น สงบขึ้น อันที่จริงเราว่ามานั่งโง่ๆ คิดนู่นคิดนี่ ฟังเสียงลมหรือให้ทรายพัดกลบตัวเราแม่งเลยก็ดีเหมือนกัน




StartFragment
StartFragment
หลังจากพระอาทิตย์ตกก็ถึงเวลาอาหารเย็นซึ่งเป็นอาหารที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีตั้งแต่ที่เราได้มาเที่ยวประเทศแห่งนี้นั้นก็คือ คูสคูส (Couscous) และทาจีน (Tagine) ซี่งแน่นอนวันนี้เราเหนื่อยและก็หิวมากก็เลยต้องจำใจกิน แนะนำใครที่กลัวเบื่ออาหาร มาม่าช่วยคุณได้จริงๆ ซึ่งหลังจากที่เราอิ่มอร่อยกับอาหารที่เหลืออย่างเยอะจนเกรงใจที่พักแล้ว ก็จะมีการรอบกองไฟของชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ที่ทะเลทรายแห่งนี้ โดยเป็นการร้องเพลงรอบกองไฟพร้อมกับเครื่องดนตรีท้องถิ่นซึ่งเราขอเรียกมันว่ากลองละกัน แต่ด้วยความเหนื่อยเราขอใช้เวลาอยู่ตรงนี้ไม่นานแล้วไปอาบน้ำดีกว่า


เห้ยจะอาบน้ำยังไงดีวะมาทะเลทรายนี่คือคำถามของเราก่อนที่จะมาทริปนี้ ห้องน้ำที่แค้มป์แห่งนี้ถือว่าดีเลยทีเดียวอาจจะแย่ตรงที่น้ำไม่ค่อยแรงและอากาศแอบเย็น ส่วนเรื่องน้ำร้อนอะลืมไปได้เลย วิธีการติดตั้งห้องอาบน้ำของที่นี่ก็คือการนำเอาถังน้ำพลาสติกขนาดใหญ่ไว้ด้านบนของห้องน้ำ เวลาที่เราเปิดฝักบัว น้ำด้านบนก็จะไหลลงมา ห้องน้ำก็เช่นกัน จบ คือตอนอาบน้ำเราไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ที่ตลกคือเหตุการณ์หลังจากการอาบน้ำเนี่ยแหละ เราใช้ผ้าเช็ดตัวแบบ Micro Fiber เพื่อประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าของเรา แต่ด้วยความเล็กและบางของมันประสิทธิภาพในการดูดซับคงจะดีไม่เท่าผ้าเช็ดตัวทั่วไปอยู่แล้ว หลังจากที่เราเช็ดตัวเสร็จเปิดประตูก้าวออกจากห้องน้ำนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเพื่อจะออกไปแปรงฟันที่ซิ้งค์หน้าห้องน้ำ ลมที่แรงขึ้นก็พัดเอาทรายที่เม็ดละเอียดยิบมาที่ตัวเรา คือลองคิดภาพเราเอามะม่วงหรือฝรั่งก็ได้ไปจิ้มพริกเกลือดิ คือเราตอนนั้นเป็นแบบนั้นเลย ตลกตัวเองสรุปอาบน้ำใหม่นะ
ด้วยความที่ลมแรงมากลักษณะของตัวเต็นท์ก็จะเป็นแบบทึบ ลมนี่แทบไม่มีเพราะถ้ามีลม มันจะมาพร้อมกับทราย ร้อนดิถามได้ อับดุลเลอะชวนเราไปนอนข้างนอก บอกว่าอากาศเย็นสบายซึ่งมันก็จริง แต่ต้องคลุมตัวให้มิดชิดเพราะไม่อย่างงั้นทรายพัดเข้ามาแน่ ซึ่งสุดท้ายเราก็เลือกที่จะกลับเข้าไปนอนในเต็นท์เพราะลมแรงมาก บวกกับท้องฟ้าไปเปิดไม่เห็นดาวซักดวง แอบเซ็ง
EndFragment
EndFragment

Day 3 : Erg Chebbi Desert Camp - Errachidia - Midelt - Azrou - Ifrane - Fes
พอตื่นเช้ามาก็อย่างที่เห็นเลยครับ สภาพพื้นที่บริเวณที่เรานั่งดูการแสดงเมื่อวานพังพินาศจากลมที่พัดเข้ามาเมื่อคืน เราว่าเราตัดสินใจถูกแล้วล่ะที่นอนในเต็นท์ไม่งั้นละก็ยับ หลังจากเดินสำรวจสภาพความพังโดยรอบแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางกลับไปยังที่จอดรถ โดยเราคงจะต้องพึ่งแรงของเจ้า Obama เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งพอเราเดินออกจากแค็มป์ไม่นาน Obama ก็จอดรออยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันรอดมาได้ยังไง





พอถึงที่จอดรถก็บอกลาคนเลี้ยงอูฐกับอูฐและทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งนี้ โดยก่อนถึงเมือง Fes เราต้องผ่านอีกประมาณ 4 เมือง โดยเราตั้งใจว่าจะถึงที่ Fes ให้ได้ก่อนฟ้ามืดเพราะเดี๋ยวจะมีปัญหาเรื่องการหาที่พักเพราะถ้าเราต้องไปเดินทาที่พักในเวลากลางคืนไม่น่าจะโอซักเท่าไหร่
วันนี้เป็นวันที่เราต้องเดินทางมากที่สุดในทริป 3 วันนี้ ระยะทางประมาณ 490 กิโลเมตร โดยเราได้คุยกับอับดุลเลอะ แล้วว่าถ้าไม่มีอะไรน่าสนใจก็ให้ผ่านไปเลยก็ได้เพื่อที่จะประหยัดเวลาในการเดินทาง

เราขอสารภาพนะ พอออกจากทะเลทรายไม่นานเราหลับยาวเลยเพราะแอร์ในรถมันเย็นดี คือที่ตื่นขึ้นมาก็เพราะอับดุลเลอะปลุกให้มาดูเนี่ยแหละ บอกว่า "Look blue water, wake wake you have to see this" เราตื่นขึ้นมาก็เห็นแบบนนี้เลยครับ เราว่าสวยดีนะมันมีความแตกแยกของสีในพื้นที่ของมันเอง
Errachida ตั้งอยู่ระหว่าง High Atlas กับ Sahara ท่ามกลางพื้นที่แห้งแล้งอันกว้างใหญ่ เราสามารถเจอโอเอซิสหรือต้นปาล์มในบริเวณนี้อยู่เรื่อยๆ และในช่วงฤดูร้อน น้ำแข็งที่เกาะตัวอยู่บนยอดเขาจะละลายและไหลลงมา กลายเป็นทะเลสาบสีน้ำเงินท่ามกลางความแห้งแล้งแห่งนี้ หลังจากนั้นเราก็หลับๆตื่นๆผ่านเมือง Midelt และ Azrou แบบที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือเมืองเพราะมันเหมือนสี่แยกไฟแดงที่มีร้านขายของเปิดเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้น แต่ก็มีตื่นมาเก็บภาพระหว่างทางบ้างได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ว่าเป็นยังไง ภูมิประเทศสวยงามและแตกต่างกับเรามากน้อยแค่ไหน นอนต่อดีกว่า





Ifrane เมืองที่ อับดุลเลอะ บอกเราว่า This is Switzerland of Morocco เนื่องจากเป็นเมืองที่มีสภาพอากาศที่เย็นสบายไม่หนาวไปไม่ร้อนจนเกินไป ด้วยลักษณะอากาศแบบนี้ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่มีทุ่งหญ้าปกคลุม เราจึงสามารถพบเจอกับฝูงน้องแกะและแพะได้ทั่วพื้นที่
จริงๆ เราเสียดายเมืองนี้มากๆ เพราะกล้องแบตเตอรี่ดันมาหมดพร้อมๆกัน เพราะการใช้งานอย่างหนักเมื่อวาน อีกทั้งที่ Erg Chebbi Desert Camp ไม่มีไฟฟ้ามากพอให้เราชาร์ต เอาเป็นว่าเมืองนี้ถ้ามองผิวๆคือไม่รู้เลยว่าอยู่ Morocco ด้วยอากาศ สภาพภูมิประเทศ และลักษณะของโครงสร้างบ้านเรือน เหมือนเราอยู่ที่ไหนซักแห่งในยุโรป คือเอาง่ายๆแบบอยู่เมืองไทยแต่ไปถ่ายรูปที่ปาลิโอ้

หลังจากที่เราออกจาก Ifrane ไม่นานมากเราก็ถึง Fes เมืองจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ เมืองนี้จะหน้าตาเป็นยังไง มีอะไรให้เที่ยวบ้าง แล้วเราจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง โปรดติดตามการเดินทางของเราต่อไปใน "13 Days in Morocco The Final" กับเมือง Fes, Chefchaouen และ Rabat กันต่อได้ที่ www.urchintravel.com, www.facebook.com/urchintravel นะครับบบบ รอแปป ส่วนใครยังไม่ได้อ่าน Part 1 ละก็คลิกตามนี้เลยนะครับ
StartFragment
EndFragment
EndFragment
Comments