13 Days In Morocco, The Final
- URCHIN presents I 13 Days In Morocco I The final
- Aug 14, 2017
- 2 min read

Continue
กลับมาแล้วกับเดินทางตอนสุดท้ายของ "13 Days In Morocco" กับ Fes, Chefchaouen และ ส่งท้ายทริปนี้กันที่ Rabat
หลังจากที่เราได้เดินทางข้ามเทือกเขา Atlas ผ่านทะเลทราย Sahara จนกระทั้งตอนนี้ก็ผ่านมาครึ่งนึงของทริปนี้แล้ว ละตอนนี้เรามาอยู่กันที่เมือง Fes ที่ที่เราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกครั้งหลังจากที่แยกกับ "อัปดุลเลอะ" ไม่มีคนท้องถิ่นนำแล้ว ความสะดวกสบายในการที่มีคนคอยช่วยเหลือหายไป การผจญภัยของเรากลับมาอีกครั้ง อะเริ่มเลยละกัน!!!

เมือง Fez เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของโมร็อคโค เราเดินเข้าไปในเขตเมืองเก่าเรียกว่า The Old Medina of Fez ที่ได้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO ซึ่ง
กว่าเราจะมาถึง Fes ก็เริ่มเย็นละ แล้วที่พักของเราอยู่ใน Old Medina วิธีเดียวที่จะเข้าถึงที่พักคือการเดิน ซึ่งการที่เป็นนักท่องเที่ยวมักจะเป็นที่สนใจของคนท้องถิ่น เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเข้ามาเที่ยวบริเวณนี้กันในช่วงเวลากลางวัน แต่พอตกเย็นที่นี่ก็จะเป็นเวลาสำหรับคนท้องถิ่น ทำให้เราได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจริงๆ


ที่เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นั่นก็คือ Al Attarine Madrasa ซึ่งตั้งอยู่ใจกลาง Old Medina เป็นทั้งมัสยิดและสถานที่สอนศาสนา ตกแต่งอย่างสวยงามทุกตารางนิ้วด้วยโมเสคและไม้แกะสลักตั้งแต่กำแพงถึงเพดาน


Place Nejjarine Museum พิพิธภัณฑ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นด้วยโครงสร้างของตัวอาคารที่ใช้ไม้เป็นส่วนประกอบผสมผสานกับความละเอียดอ่อนจากการแกะสลักหิน ที่นี้จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมสไตล์โมร็อคคัน



หลังจากนั้นเราก็เดินมายังสถานที่ฟอกหนังที่เก่าแก่ที่สุด เป็นการฟอกหนังโดยใช้มือและวิธีแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อของที่นี่ โดยการจะเข้าไปดูได้นั้น จะต้องเดินทะลุเข้าไปในบ้านคนที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกดัดแปลงมาเป็นร้านขายเครื่องหนัง โดยสิ่งที่เจ้าของโรงงานมักจะมีติดตัวคือ ใบมิ้นที่จะช่วยบรรเทาอาการมึนจากกลิ่นของแอมโมเนียจากการฟอกหนัง



วันต่อมา เราออกมาจากที่พักตั้งแต่เช้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังอีกเมืองซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาดนั้นก็คือ เมืองแห่งสีฟ้า Chefchaouen นั้นเอง โดยการเดินทาง เราเลือกที่จะใช้บริการของ CTM ซึ่งเป็นรถบัสปรับอากาศที่มีราคาแพงกว่ารถโดยสารทั่วไป เหมือนเรานั่งนครชัยแทนที่จะนั่ง บขส. ซึ่งโดยมากนักท่องเที่ยวจะนิยมใช้ CTM มากกว่าเพราะตรงเวลามากกว่ารถแบบธรรมดา ที่ชอบแวะจอดรับผู้โดยสารระหว่างทาง โดยราคาจะอยู่ที่ 75 DH ซึ่งไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ โดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
Info : http://www.ctm.ma


Chefchaouen เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากทะเล Mediterranean และประเทศสเปน คนในเมืองนี้ส่วนใหญ่จึงสามารถพูดภาษาสเปนได้ และลืมไปได้เลยกับภาษาอังกฤษ โดยก่อนถึงเมืองไม่นานเราจะเริ่มมีความรู้สึกถึงความฟ้าที่ค่อยๆทะยอยให้เห็นจากสีของอาคารที่รถเราผ่าน พอลงจากรถบัส ที่เหลือคือการเดินไปยังที่พักที่เราได้จองไว้นั้นก็คือ Air bnb นั้นเอง โดยระหว่างทางเราก็จะผ่านตลาดและได้เห็นวิถีความเป็นอยู่ของคนที่นี่จริงๆ


เห็นผู้ชายที่ใส่แว่นดำมะ นั่นแหละเจ้าของที่พักของเรา ไม่ว่าเราจะพยายามสื่อสารกับพี่แกขนาดไหนก็ตามคำตอบที่มักจะได้ คือ Yes กับ No แค่นี้เท่านั้น ซึ่งพี่แก่ก็พยายามจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณที่พัก และพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว ถ้าเราถามอะไรไปก็จะตอบอยู่แค่ 2 คำเนี่ยแหละ มาเรามาเริ่มเข้าเรื่องกันซักที จริงๆ แล้วความสีฟ้าของเมืองมีให้เห็นได้ทั่วไปแหละไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของเมืองก็ตาม





ซึ่งถ้าอยากเห็นความฟ้าแบบจัดเต็มละก็ ให้ขึ้นไปที่สูงๆ แล้วมองลงมา หรือถ้าอยากได้มุมที่เห็นเมืองทั้งหมดก็ต้องที่นี่เลย Spanish Mosque จุดชมวิวและที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่ใช้เวลาเดินเท้าจากจตุรัสกลางเมืองประมาณ 45 นาที โดยระหว่างทางก็ผ่านลำธาร Fouara แหล่งน้ำธรรมชาติที่ชาวบ้านที่นี่ใช้เป็นสถานที่พักผ่อน รวมถึงการอาบน้ำ ซักผ้า อะไรอีกเยอะแยะไปหมด แต่ก่อนเดินขึ้นไปที่จุดชมวิวก็จะพบกับฝูงแพะที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เพื่อรีดนมขาย วิ่งเล่นกันอยู่


และแล้วเราก็มาถึงจุดชมวิว ที่ที่เราสามารถเห็นตัวเมือง Chefchaouen อยู่ตรงหน้า เอาจริงมันมีความเหมือนภาพวาดสีน้ำมันที่เราเห็นตามพิพิธภัณฑ์เลย ด้วยความฟ้าของเมืองตัดกับทิวเขาทำให้ภาพที่เราเห็นข้างหน้ามันให้อารมณ์ที่แตกต่างจากตอนที่เราเดินอยู่ในเมือง มาเถอะเดินขึ้นกันมาเถอะไม่เหนื่อยหรอกถ้าแลกกับวิวที่เราจะได้เห็นบนนี้ Spanish Mosque แห่ง Chefchaouen


กลับลงมาบริเวณใจกลางเมืองที่ Place Outa el Hammam & Kasbah จุดศูนย์กลางของเมืองที่เป็นแหล่งรวมร้านอาหาร, คาเฟ่ และร้านขายของที่ระลึกของเมืองไม่ว่าจะเป็นเครื่องเทศ ถ้วยชาม หรือแม้กระทั้งผงสีที่ใช้ตกแต่งที่อยู่อาศัยของคนที่นี่ ได้มาจากการนำเอาผงสีตัวนี้แหละผสมกับน้ำแล้วเอามาทาอาคาร







ส่วนตัวเราว่านอกจากการเดินเล่นชมเมืองแล้ว การใช้เวลาในการสังเกตหรือเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากสำหรับเรา เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติและปราศจากการปรุงแต่ง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะมันมีความเป็นธรรมชาติแบบบอกไม่ถูก


หลังจากนั้นเรามายัง Ethnographic Museum of Chefchaouen พิพิธภัณฑ์และเรือนจำเก่าของเมือง ที่ที่เราสามารถเดินขึ้นไปบนหอคอยตรวจการของเมืองพร้อมกับชมวิวเมืองแบบ 360 องศา อีกทั้งยังสามารถเห็นกำแพงทางตอนเหนือ ที่ใช้สำหรับป้องกันตัวเมืองจากหินบนยอดเขาที่สามารถกลิ้งลงมาสร้างความเสียหายให้กับเมืองได้ด้วย




หลังจากที่เราใช้เวลาไปกับการชิลที่เมืองแห่งนี้ก็ถึงเวลาบอกลาเจ้าเมืองสีฟ้าแห่งนี้แล้ว แต่ก่อนที่เราจะจากเมืองนี้ไป ตามทำเนียมของเรา เราก็ต้องส่งโปสการ์ดซะก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากซักเท่าไหร่สำหรับเมืองนี้ที่จะหาตู้ไปรษณีย์ แต่ที่ยากคือการหาแสตมป์เนี่ยแหละ แค่ต้องเดินลงจากเขาไปส่งที่สำนักงานไปรษณีย์ของเมืองเอง


โดยหลังจากเมือง Chefchaouen เราจะเดินทางกลับไปยังเมืองที่เป็นจุดเริ่มต้องของเรา นั่นก็คือ Rabat เมืองหลวงของประเทศนี้ โดยการเดินทางโดยรถบัสแต่คราวนี้เราจะใช้รถแบบlocal ซึ่งไม่ต้องห่วงครับแทบไม่ต่างอะไรกับรถฉิ่งฉับทัวร์บ้านเราเลย เพิ่มเติมคือไม่มีแอร์แล้วก็เหม็นมากด้วย ซึ่งเหตุผลที่รถใช้รถแบบนี้ก็เพราะว่าเราขี้เกียจตื่นเช้านั่นเองครับ ส่วนรถของ CRM ก็มีครับแต่วันที่เราจะไป Rabat เป็นวันที่รถมีแค่รอบเช้ารอบเดียว เราก็ปล่อยไหลเลย ซึ่งรถที่เราใช้ไปถึงจุดหมายช้ากว่ากำหนดไปแค่ชั่วโมงกว่าเอง ที่สำคัญไม่มีนักท่องเที่ยวเลยซักคน การจอดของรถคันนี้คือการจอดรับคนเพิ่มกับการแวะเติมน้ำมัน
ตลอดการเดินทางมีทั้งฝุ่นและกลิ่นคุณลุงคนที่นั่งข้างๆเราเนี่ยแหล ะซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้ อีกหนึ่งสิ่งที่อยากจะแนะนำให้เอาติดตัวไปคือ ยาดม เพราะคุณจะคิดถึงมัน บอกเลย ซึ่งเวลาการเดินรถก็นานพอที่จะทำให้เราหิว และสิ่งที่เราลงไปซื้อคือขนมปังกับเนื้อที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคือเนื้ออะไร แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เนื้อหมูอย่างแน่นอนใช่มั้ยครับบัง



ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง Rabat ใช้เวลาไปประมาณ 4 ชั่วโมงได้ ซึ่งสิ่งแรกที่เราทำคือการเดินทางไปยังที่พักที่จองไว้ผ่าน Air bnb โดยข้อมูลที่เราได้จากเพื่อนที่เคยมาก่อนเรา คือความสบายของที่พักแห่งนี้ โดยรูปที่เราเจอใน Air bnb คือรูปแรกด้านล่างนี้ครับ ว่าที่พักอยู่ตรงนี้ (ไหนวะ?) สุดท้ายก็ต้องโทรหาเค้าเพราะตัวรถแท็กซี่ไม่สามารถเข้าไปส่งใน Medina ได้ตามเคย พอเราเข้าไปถึงที่พักก็ได้รับการตอนรับอย่างอบอุ่น


หลังจากที่เราเก็บของเสร็จก็ถึงเวลาสำหรับการเก็บตกสถานที่ที่เรายังไม่ได้ไปของเมืองนี้เพราะวันแรกที่เรามาถึงโมร็อคโคเราแทบจะยังไม่ได้ใช้เวลากับเมืองนี้เลย ซึ่งสถานที่ที่แรกที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก็ต้องที่นี่เลย Hassan Tower อีกทั้งบริเวณแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งของสุสานกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 โดยมีทหารยามยืนเฝ้าตลอดเวลาบริเวณประตูทั้ง 4 ทิศ




หลังจากที่เราใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์อยู่พักนึก เราขอเปลี่ยนบรรยากาศมาที่ Musée Mohammed VI d'Art Moderne et Contemporain พิพิธภัณฑ์ที่มีผลงานศิลปะจากหลายประเทศ ซึ่งจะออกไปทางโมเดิร์นอาร์ตซะเป็นส่วนใหญ่



พอหลังจากที่เดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์ไม่นานก็ถึงเวลาอาหารเย็นของเรา ดังนั้นคงจะหนีไม่พ้นอย่างแน่นอนกับถนนคนเดินของที่นี่เพราะแน่นอนที่สุดมีอาหารให้เราทานในราคาย่อมเยาอย่างแน่นอน ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่เรานำเข้าปากไปนั้นคือหอยทากและขอบอกนะตรงนี้เลยว่าเป็นการกินเจ้าหอยประเภทนี้ครั้งแรกและมันก็ไม่ทำให้เราต้องผิดหวัง หวานอร่อยเสริฟพร้อมกับน้ำซุปสมุนไพร ถ้าใครมา Rabat แล้วไม่ได้ลองทานขอบอกเลยว่าพลาดมาก





แล้วตอนนี้เราก็เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของ 13 Days In Morocco, The Final : Fes, Chefchaouen and Rabat และการเดินทางตลอด 13 วัน 12 คืน ในดินแดนแห่งนี้ ที่ที่สอนให้เรารู้จักคำว่าเปิดใจอย่างแท้จริง ในการยอมรับสิ่งที่ไม่ปกติเอาซะเลยเมื่อเปรียบเทียบกับสังคมและวัฒนธรรมของเรา แต่สำหรับที่นี่มันเป็นเรื่องที่ปกติและธรรมดามาก สิ่งที่เราพยายามจะบอกหรือเล่าประสบการณ์ที่เราได้ไปสัมผัสมามันอาจจะยากที่จะเข้าใจ ที่สุดแล้วมันก็ต้องไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเองแล้วคุณจะรู้ว่าโลกใบนี้มันใหญ่มาก
ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่าน 13 Days in Morocco อีก 2 ตอนก่อนหน้าที่ติดตามได้ตามลิ้งด้านล่างเลยนะครับ
Follow กันได้ที่นี่ตามนี้เลย
Facebook: https://www.facebook.com/urchintravel
Instagram: @urchin_travel

Comentarios